แสงแดด เป็นแสงในธรรมชาติที่มอบแหล่งพลังงานให้กับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ซึ่งแสงแดดนั้นให้ทั้งประโยชน์และโทษหากได้รับแสงมากเกินไป แต่การหลีกเลี่ยงไม่พบเจอแสงอาทิตย์เลย ก็อาจจะทำให้ร่างกายขาดประโยชน์ที่จะได้รับจากแสงแดดด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงควรที่จะทำความรู้จักกับแสงอาทิตย์เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์ และหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แสงแดดให้โทษได้อย่างถูกต้อง
แสงแดด คืออะไร ให้ประโยชน์และโทษอย่างไร
แสงแดด คือ รังสีหลากหลายชนิดที่มาประกอบอยู่ด้วยกัน ได้แก่ แสงที่มองเห็น (Visible Light) แสงที่มองไม่เห็น (Invisible Light) และแสงอินฟราเรด (Infrared) รวมเป็นแสงอาทิตย์ โดยรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) ที่หลายคนคุ้นหูนั้นจัดเป็นแสงที่มองไม่เห็น และถูกเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า รังสียูวี (UV)
ประโยชน์แสงแดดในช่วงเวลาที่ดีกับสิ่งมีชีวิต เช่น แดดตอนเช้า จะมีความสำคัญในการดำรงชีวิตในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นให้การเจริญเติบโตแก่พืชโดยการสังเคราะห์แสง หรือการสร้างวิตามินดีในมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า และดูดซึมไขมันได้
ชนิดของรังสีอัลตราไวโอเลต มีกี่ประเภท
รังสีอัลตราไวโอเลตหรือแสง UV มีกี่ประเภท? รังสียูวีนั้นประกอบไปด้วย 3 ประเภท ได้แก่ UVA, UVB และ UVC โดยจะมีความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน และเมื่อรังสีเหล่านี้โดนผิวของมนุษย์ ก็จะส่งผลกระทบต่อผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้
- UVA
คลื่นรังสีที่มีความยาวที่สุดในทั้งหมด มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 320-400 นาโนเมตร สามารถทะลุได้ถึงชั้นผิวด้านใน หากได้รับรังสี UVA เป็นระยะเวลานานจะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพ เนื่องจากอนุมูลอิสระจะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลงจนเกิดการเหี่ยวย่นของผิว
- UVB
คลื่นรังสีความยาวรองลงมาจาก UVA มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 290-300 นาโนเมตร สามารถทำลายการกักเก็บความชื้นของผิวชั้นนอก ส่งผลให้ผิวมีความแห้งกร้าน แดง และผิวหน้าไหม้แดด
- UVC
คลื่นรังสี UVC มีความยาวคลื่น 100-280 นาโนเมตร ซึ่งเป็นคลื่นความยาวที่สั้นที่สุด และมีพลังงานเข้มข้นสุด สามารถก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ต้อกระจก และก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม รังสี UVC ไม่สามารถส่องทะลุผ่านชั้นโอโซนมาได้ ยกเว้นในกรณีที่อยู่บนพื้นที่สูงมาก ๆ เช่น ยอดเขา หรือชั้นโอโซนที่ค่อนข้างบาง
นอกจากนี้ยังมีแสงอื่น ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของแสงแดดอย่างแสงอินฟราเรด และแสงที่มองเห็นได้ โดยแสงที่มองเห็นได้นั้นมีปริมาณถึง 45% ขององค์ประกอบแสงทั้งหมด ซึ่งโทษของแสงแดดที่มองเห็นได้ คือกระตุ้นการสร้างฝ้าแดด ผิวคล้ำเสีย และผิวเสื่อมสภาพจากการได้รับแสงแดดเป็นระยะเวลานาน ถึงแม้ว่าแสงชนิดนี้จะมีพลังงานต่ำ
ในส่วนของแสงอินฟราเรด เป็นแสงที่ทำให้รู้สึกถึงความร้อน ประกอบอยู่ในแสงอาทิตย์มากถึง 50% หากได้รับแสงอินฟราเรดในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวแก่ก่อนวัย คอลลาเจนลดลง และผิวเหี่ยวย่น
อันตรายจากแสงแดด ก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง
ถึงแม้ว่าแสงแดดจะมีส่วนที่ให้ประโยชน์ แต่การได้รับในปริมาณมากเกินไปก็อาจให้โทษได้เช่นกัน หากมีคำถามว่าแสงแดดอันตรายแค่ไหนนั้น อาจกล่าวได้ว่าแสงแดดสามารถก่อให้เกิดปัญหาผิวตั้งแต่ชั้นนอก จนไปถึงการเกิดโรคภายในต่าง ๆ ซึ่งอันตรายจากแสงแดด อาจทำให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้
- ผิวไหม้แดด
- ผิวเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ริ้วรอยก่อนวัย
- สิว
- โรคมะเร็งผิวหนัง
- โรคลมแดด
- โรคต้อ
- โรคลูปัส หรือแพ้ภูมิตัวเอง
การปกป้องผิวจากแสงแดด มีวิธีอย่างไร
หากไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่จะได้รับประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด ก็ควรที่จะมีการปกป้องผิวหากต้องออกไปพบกับแสงแดด โดยวิธีการปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถทำได้ตามวิธีดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงแสงแดดให้ได้มากที่สุดเพื่อป้องกันผิว
วิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องผิวจากแสงแดด คือการหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวโดนแดดให้ได้มากที่สุด เช่น ใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด อยู่ภายในอาคาร หรือถ้าหากต้องออกไปเจอแสงอาทิตย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจกางร่มเพื่อป้องกันแสงแดดเสริม รวมถึงใส่แว่นตากันแดด เนื่องจากผิวบริเวณรอบดวงตานั้นจะมีความบอบบางมากกว่าบริเวณอื่น
2. ใช้ครีมกันแดดที่มีคุณภาพ ป้องกันแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการป้องกันแสงแดด โดยต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป เนื่องจากแสงแดดในประเทศไทยมีความเข้มข้นค่อนข้างสูง อาจทำให้มีการเร่งให้ผิวแก่ หรือผิวไหม้ได้ และควรทาครีมกันแดดซ้ำระหว่างวันในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อการปกป้องผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ใช้สกินแคร์ เพิ่มเกราะป้องกันผิว ฟื้นฟูและต้านผลเสียจากแสงแดด
อาจใช้สกินแคร์เสริมเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับชั้นผิว เช่น เจลว่านหางจระเข้ที่จะช่วยปลอบประโลมผิว ลดอุณหภูมิผิวให้เย็นลง หรือสกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องและฟื้นฟูชั้นผิวที่อาจได้รับผลกระทบจากแสงแดด
4. ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันแสง UV เมื่ออยู่ภายในอาคาร
ถึงแม้จะอยู่ภายในบ้าน ก็ต้องมีการทาครีมกันแดดเช่นกัน เพราะแสงแดดสามารถสะท้อนเข้ามาในบ้านได้ และนอกจากทาครีมกันแดดแล้ว อาจติดอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยป้องกันแสงแดดเพิ่ม เช่น ม่านกัน UV, ฟิล์มติดกระจก ฯลฯ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแสงแดดและการป้องกัน
รับวิตามิน D จากแสงแดด กี่โมงดีถึงได้ประโยชน์
ช่วงเวลาที่ดีในการรับวิตามินจากแสงแดด คือ ก่อนเวลา 10:00 น. โดยในช่วง 06:00-08:00 น. จะเป็นช่วงที่ดีที่สุด
แสงแดดในช่วงเวลาไหนอันตรายที่สุด ควรหลีกเลี่ยง
ในช่วง 10:00-16:00 น. จะเป็นช่วงเวลาที่ความเข้มข้นของรังสี UVB มากที่สุด ซึ่งรังสียูวีบีจะทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยที่ผิว และผิวไหม้คล้ำเสียได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลานี้
ปริมาณในการทาครีมกันแดดที่มีผลประสิทธิภาพคือเท่าไหร่
การทาครีมกันแดดให้สามารถปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเป็นครีมกันแดดทาหน้า ควรทาประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ หรือ 2 ช้อนชา และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง
สรุป แสงแดด รู้ทันได้ประโยชน์ และป้องกันได้
แสงแดด ประกอบไปด้วยคลื่นรังสี 3 ชนิดมารวมกัน ได้แก่ แสงที่มองเห็นได้ แสงอินฟราเรด และแสงที่มองเห็นไม่ได้อย่างรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งให้ประโยชน์และโทษไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นจึงควรที่จะมีการรับแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ในช่วงเวลาที่แสงจะให้โทษมากกว่าเกิดประโยชน์ต่อผิว
แต่เนื่องจากในชีวิตประจำวันไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ตลอดเวลา จึงต้องมีการปกป้องผิวให้กระทบแสงแดดน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด การใช้สกินแคร์ และการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ อย่าง Romrawin Sun Shield Silky Cream มีเนื้อครีมนุ่มลื่น ไม่เหนอะหนะผิว หรือหากใครต้องการครีมกันแดดเนื้อบางเบา ก็สามารถใช้ครีมกันแดดเนื้อโลชั่นอย่าง Romrawin Sunscreen Milky Lotion ได้ เพื่อปกป้องผิวจากแสงอาทิตย์ที่มีการกระตุ้นอนุมูลอิสระ และการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ส่งผลให้ผิวคล้ำเสีย
นอกจากการใช้สกินแคร์ที่ปกป้องผิวแล้ว อาจใช้สกินแคร์ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับชั้นผิว ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดด เพื่อบำรุงผิวจากภายในให้มีการสร้างผิวที่แข็งแรงมากขึ้น ที่สำคัญควรเลือกครีมกันแดดและสกินแคร์ที่มีความปลอดภัยต่อผิว และได้รับการรับรองอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน